|
 |
พ่อหลวง...ของเรา
เรื่องดี ๆ ที่อยากให้อ่าน...จากเนชั่นสุดสัปดาห์ 2-8 ธันวาคม 2549
(แม้เป็นเรื่องเก่าแต่ก็ยังอดปลื้มปิติแก่ตัวเองที่ได้อ่านและผู้ที่มีบุญได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่านมิได้...ทุกครั้งที่ได้อ่าน)
เรื่องที่ 1
"ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา
คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ
พระราชวังไกลกังวลนั้น
จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหินหนองพลับ
แก่งกระจานด้วย พระองค์เองทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า
โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว"
วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล
อำเภอหัวหิน
ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงและไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์
พระที่นั่งส่วนพระองค์
"..ต้องให้ในหลวงเสด็จฯ ก่อน แล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..
วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ.."
ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว
วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
"วันนี้ฉันเป็นในหลวง.. คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."
เรื่องที่ 2
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน
เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
จึงมีคำกราบทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือนตรัสถามว่า
"เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
"...มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไปทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
ตัวหนึ่งที่ยังเล็กตรัสอ้อแอ้อยู่เลยและทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
เรื่องนี้ดร.สุเมธเล่าว่า เป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ
ไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
เรื่องที่ 3
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวงดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดินเพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่
ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า
ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป
และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงานหรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่าง
ๆ นานัปการ
ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการเคยเล่าให้ฟังว่า
ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่า
ยามกราบบังคมทูลจึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า
พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน
ฯลฯ"
เมื่อคำกราบบังคมทูลจบ
ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออดี
เราชื่อเดียวกัน..."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
...มีเรื่องหนึ่งเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว
มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนหนึ่งกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า
อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่างพอดีในหลวงเสด็จมา
คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น
ก็บอกว่า เฮ้ยจับดี ๆ หน่อยสิอย่าให้แกว่ง ในหลวงทรงจับบันไดให้
เค้าก็บอกว่า เออดี ๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง
(สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร)
พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้
ถึงกับเข่าอ่อนจะตกบันไดรีบลงมาก้มกราบ ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า
"แหมดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"
***ร่วมกันทำความดี รู้รักสามัคคี เพื่อพ่อหลวงของเรา***
|
|